วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความจริงกำลังไล่ล่า..

“ตอนนี้ที่รัฐบาลและหลายฝ่ายกำลังเตรียมจะปรองดอง ปฏิรูป แก้รัฐธรรมนูญ ระดมความเห็น 6 วัน 63 ล้านเสียงอะไรนั้น เฮาเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์เลย มันแค่การสร้างภาพ จะปรองดองตอนนี้ได้อย่างไรในเมื่อยังไม่มีการพิสูจน์เรื่องคนตาย ใครยิงประชาชน ประชาชนตายไปขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่มีใครพิสูจน์ความจริงก็ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย คณะกรรมการที่ตรวจสอบพิสูจน์ตอนนี้ก็ไม่เป็นกลาง ถ้าจะให้เป็นกลางจริงต้องให้ต่างประเทศเข้ามาช่วยตรวจสอบ เพราะตอนนี้บ้านเมืองของเฮาไม่มีองค์กรไหนที่เป็นกลางสักองค์กรหนึ่ง ส่วนใหญ่เอียงหมด”

เสียงหญิงสาวเสื้อแดงที่แสดงความรู้สึกผ่าน “สำนักข่าวประชาธรรม” ถึงความอัดอั้นและคับแค้น เพราะไม่มีสื่อไหนเปิดพื้นที่ให้คนเสื้อแดง ไม่เคยมีวันไหนที่จะนอนหลับอย่างเป็นสุข เพราะคนเสื้อแดงที่กลับบ้านก็ยังคงอยู่กับทหาร มีทหารมาป้วนเปี้ยนที่บ้านอยู่ตลอดเวลา หรือไม่ก็ต้องอยู่อย่าง หลบๆซ่อนๆ พอดูโทรทัศน์กระแสหลักก็รู้สึกว่าลำเอียง อยากทุบทีวี. เพราะข่าวสารข้อมูลไม่เป็นจริง มีแต่โกหกกันไปวันๆ

คนเสื้อแดงและชาวบ้านในต่างจังหวัดจึงเลือกดูเคเบิลที่ยังเปิดพื้นที่ให้คนเสื้อแดงอยู่บ้าง ทำให้ยังได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ที่เป็นจริงบ้าง แม้แต่การดูข้อมูล ข่าวสารจากสื่ออินเทอร์เน็ตที่แพร่ หลายอย่างรวดเร็วไปทุกพื้นที่

“พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ตัวปัญหา

ความรู้สึกของคนเสื้อแดงที่กลับบ้านจึงไม่ได้แตกต่างกันนัก ตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่มีความยุติธรรม มีแต่การใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน หรือใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินกล่าวหาและยัดเยียดข้อหาเพื่อไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดง พวกเขาจึงพร้อมจะลงใต้ดินสู้ หรือกลับมาสู้อีกครั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยถ้ามีโอกาส

แต่ในความรู้สึกของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กลับเหมารวมคนเสื้อแดงว่าเป็นการก่อการร้ายที่ต้องการใช้ความรุนแรง รัฐบาลและ ศอฉ. จึงเห็นพ้องกันให้ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 90 วัน ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็รู้ดีว่าสวนทางกับแผนปรองดอง และนำไปเป็นเงื่อนไขในการต่อต้านของคนเสื้อแดงที่จะยิ่งทำให้ปัญหาฝังลึกและรุนแรงมากขึ้น

“ปฏิกิริยาของกลุ่มคนดังกล่าวรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ เกลียดชัง ไม่ยอมแพ้รัฐบาล พร้อมก่อการ ขณะเดียวกันมีสถานการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆโดยตลอด นี่คือเหตุผลที่ต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 24 จังหวัด ต่อไปอีก 3 เดือน”

คำพูดของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. จากรายงานข่าว เบื้องหลังการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนมีมติให้ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ให้ยกเลิก 5 จังหวัด ขณะที่ ศอฉ. ต้องการให้คงไว้ทั้ง 24 จังหวัด และยังชี้ข้อดีของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่าสามารถบูรณาการให้เจ้าหน้าที่ทำงานร่วมกัน และสร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ไม่ถูกฟ้องร้อง

นอกจากนี้นายสุเทพยังระบุว่ามีความพยายามจะจุดชนวนและระดมมวลชนอย่างต่อเนื่อง โดยจะใช้สื่อโทรทัศน์เป็นหลัก ซึ่งใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้าจะเปิดทีวี.ช่องใหม่ “ทีวี เอเชียอัพเดท” (Asia Update TV) โดยมีคนหน้าเดิมๆมาปรากฏหน้าจอ จึงจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ แม้จะมีความกดดันของสังคม แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เห็นด้วย เพราะถ้ายกเลิกกลุ่ม นปช. อาจกลับมาเร็วกว่าที่คิด

วาทกรรมสร้างภาพ

ขณะที่ผลการสำรวจกรุงเทพโพลล์ระบุว่า คนกรุงเทพฯร้อยละ 62.5 เห็นว่าควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งสวนทางกับการประกาศแผนปรองดอง การปฏิรูปประเทศ การปฏิรูปการเมืองและแก้รัฐธรรมนูญ หรือโครงการ 6 วัน 63 ล้านความคิด ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์และถากถางว่าชาติหน้าไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ทั้งยังเป็นแค่การพยายามสร้างภาพของนายอภิสิทธิ์เท่านั้น

แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่มีทางเลือก เพราะจำเป็นต้องใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความชอบธรรมและกลบเกลื่อนเหตุการณ์สังหารโหดเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม ทั้งที่รู้ว่ามีกระแสต่อต้านทั้งภายในและองค์กร ด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รัฐบาลหลายประเทศก็ต้องการรู้ข้อเท็จจริงและการลงโทษผู้กระทำผิด โดยเฉพาะรัฐบาลญี่ปุ่นที่ผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นถูกยิงเสียชีวิต จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ เช่นเดียวกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศอีกหลายคนที่ถูกยิงเสียชีวิตและบาดเจ็บ

ไม่มีสำนึกประชาธิปไตย

ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 19 จังหวัดว่า แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่มีสำนึกความเป็นประชาธิปไตย ยังนึกสนุกกับอำนาจที่มีอย่างไม่จำกัด ทั้งที่เดิมทีแล้ว พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมาเพื่อใช้ในภาคใต้ในพื้นที่ที่มีความไม่สงบเรียบร้อย แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กลับเอามาใช้ในพื้นที่กรุงเทพฯที่สถานการณ์สงบลงแล้ว ทำให้สังคม เศรษฐกิจปั่นป่วนไปหมด

“แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังทำเพื่อใครกันแน่ เพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือประโยชน์ส่วนตัว ทำเพื่อให้อยู่ในอำนาจนานที่สุดใช่หรือไม่ ซึ่งอยากบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็ให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยาวไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าเลย จะได้อยู่กับอำนาจให้สนุกเต็มที่ และเชื่อว่าหลังเลือกตั้งครั้งหน้าเสียง ของประชาธิปัตย์จะไม่ถึง 100 เสียงอย่างแน่นอน”

ดีเอสไอรับหนักใจ!

ส่วนกรณีที่ ศอฉ. สั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รื้อฟื้นคดีล้มเจ้าตามแผนผังของ ศอฉ. เพื่อดำเนินการกับผู้อยู่ในข่ายที่ถูกกล่าวหา รวมถึงคดีก่อการร้ายที่ยังมีการไล่ล่าอย่างต่อเนื่องนั้น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณที่ถามถึงเรื่องนี้ว่า คดีล้มเจ้าและคดีก่อความไม่สงบเป็นคดีที่ตั้งต้นมาจาก ศอฉ. ซึ่งต่อมาคณะกรรมการคดีพิเศษมีมติให้ดีเอสไอทำคดีนี้ ฉะนั้นดีเอสไอจะทำหน้าที่เป็นคนกลางให้ดีที่สุดในฐานะเจ้าพนักงานสอบสวน

ส่วนที่มองว่าผู้ต้องหาหลายคนไม่ได้รับความเป็นธรรม นายธาริตยืนยันว่า ดีเอสไอตรวจสอบตรงไปตรงมา และไม่ได้ทำงานโดยลำพัง แต่ได้ร่วมกับอีก 12 หน่วยงาน รวมถึงอัยการสูงสุด โดยคดีล้มเจ้าและคดีก่อความไม่สงบยังไม่ไปถึงการสั่งฟ้อง แต่อยู่ระหว่างการตรวจสอบพยานหลักฐานและเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาพิสูจน์ความบริสุทธิ์

อย่างไรก็ตาม นายธาริตยอมรับว่าหนักใจที่กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะดีเอสไอไม่ได้ออกแบบมาเพื่อทำคดีเช่นนี้ และไม่คาดคิดว่าจะมีคดีเช่นนี้เกิดขึ้น จึงต้องดึงอัยการสูงสุดมาร่วมทำงาน

คนตายพูดไม่ได้!

แต่ประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างมากในขณะนี้คือ การค้นหาความจริงของการเสียชีวิตในการปราบปรามคนเสื้อแดงของ ศอฉ. ที่มีตัวเลขทางการ 90 ศพ แม้จะมีการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) เป็นประธาน แต่กำหนดระยะเวลาไว้ถึง 2 ปีนั้น สิ่งที่ภาคประชาชนและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนวิตกคือไม่มีหลักฐานการชันสูตรพลิกศพผู้ชีวิต ซึ่ง ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นักวิชาการจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เคยทำงานอยู่ในศูนย์ฮอตไลน์ของมหาวิทยาลัยมหิดลตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ยืนยันว่า เหตุการณ์ครั้งนี้มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีการชันสูตรพลิกศพ นอกนั้นแทบไม่มีข้อมูลเลย และศพส่วนใหญ่ก็ฌาปนกิจไปแล้ว แม้แต่การตั้งศูนย์ติดตามการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายก็ไม่มี

โดยเฉพาะการเสียชีวิต 6 ศพในวัดปทุมวนารามที่มีพยานทั้งผู้อยู่ในวัด ผู้สื่อข่าวไทยและต่างชาติ ยืนยันว่ามีการยิงจากสถานีรถไฟฟ้า ซึ่ง ศอฉ. ยืนยันว่าทหารไม่ได้ยิง แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าใครยิง โดยเฉพาะอาสาสมัครที่ถูกยิงเสียชีวิตและ บาดเจ็บสาหัสกว่า 10 คน

“กระสุนปืนที่เบิกออกมาจากคลังของกองทัพจำนวนเป็นหมื่นนัดที่ถูกยิงไปจากกระบอกปืนของทหาร มีนักข่าวต่างประเทศถ่ายไว้แต่ไม่ได้ออกโทรทัศน์ไทย ไปออกโทรทัศน์ต่างประเทศจำนวนมาก เหมือนว่ากระสุนเหล่านั้นไม่ได้ไปทำร้ายชีวิตของผู้ชุมนุมเลย ซึ่งในข้อเท็จจริงและโดยอนุมานจากสายตา เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นส่วนหนึ่งของการเสียชีวิต มาจากกระสุนปืนที่มาจากฝ่ายทหารของรัฐบาลที่ล้อมปราบ” ดร.กฤตยาตั้งคำถามที่มาพร้อมกับวาทกรรม “ผู้ก่อการร้าย” ที่รัฐบาลนำมาล้อมปราบคนเสื้อแดง

ความจริงต้องปรากฏ!

อย่างไรก็ตาม วันนี้รัฐบาล และ ศอฉ. ก็ยังคงเดินหน้าไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามต่อไปด้วยวาทกรรม “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มสถาบัน” พร้อมกับการใช้สื่อของรัฐและสื่อกระแสหลัก รวมทั้งการใช้สังคมออนไลน์ยัดเยียดข้อมูลข่าวสารรัฐบาลด้านเดียวกับประชาชน เพื่อสร้างความชอบธรรมและอ้างประชาชนในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการปราบปรามคนเสื้อแดง ทั้งที่ตรงข้ามกับผลการสำรวจ หรือปฏิกิริยาที่ต่อต้านทั้งคนในประเทศและประชาคมโลก

โดยเฉพาะคนเสื้อแดงหรือประชาชนที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกข้างใดก็เบื่อหน่ายกับการถูกสื่อยัดเยียดข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จหรือบิดเบือน เพราะวันนี้ชาวไร่ชาวนาที่ถือเป็นคนบ้านนอกหรือไพร่นั้นไม่ได้กินหญ้า และไม่ได้ “โง่ จน เจ็บ” ที่ต้องทนก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ถูกกดขี่และไม่เป็นธรรมอีกต่อไป

วาทกรรมสวยหรูของนายอภิสิทธิ์จึงเป็นแค่การสร้างภาพและกลบเกลื่อน “ความจริงวันนี้” ซึ่งไม่อาจทำได้ ไม่ว่าจะใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรืออำนาจที่ล้นฟ้าแค่ไหนก็ไม่สามารถ ปิดกั้นความจริงที่ทหารนับหมื่นใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์

แม้วันนี้นายอภิสิทธิ์ยังมีอำนาจและมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินปกป้อง แต่เมื่ออำนาจเปลี่ยนแปลงอำนาจที่หมดไป “ความจริงวันนั้น” ที่นั่งทับไว้ก็จะปรากฏและพรั่งพรูออกมาไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อโลกล้อมประเทศไทย อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะ “ฆาตกร” ที่ฆ่าประชาชนอย่างเลือดเย็นและโหดเหี้ยมทารุณในที่ สุดจะต้องถูกกระชากหน้ากาก

ทั้งที่ “ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย” แต่วันนี้จะกลับกลาย “ความตายเป็นสิ่งที่ไม่จริง” เหมือนไม่เคยมีคนตายเกือบ 100 ศพ เหมือนไม่เคยมีคนบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน

หรือว่าเขาเหล่านั้นอยู่คนละชั้น?

ดังนั้น แม้ “ความจริงวันนี้” จะถูกปิดกั้น...แต่ “ความ จริงวันนั้น” จะไม่ถูกปิดตาย

แม้ระบบยุติธรรมไทยจะมี 2 มาตรฐาน แต่ความจริงประเทศไทยต้องมีเพียงมาตรฐานเดียว!

http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=7212

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น